ยังบ่อหมดเสียงพิณยังบ่อสิ้นเสียงแคนกะยังบ่อสิ้นหมอลำตาบได๋ที่คนอีสานยังบ่อลืมบ้านเฮาหมอลำกะสิบ่อหมดไป สวัดดีครับพี่น้อง ขอต้อนรับเข้าสู่ หมอลำ บ้านวังเยี่ยม ดอทคอม ศูนย์รวมหมอลำ ซิ่ง และ หมอลำเรื่องต่อกลอน และ งานประเภณีต่างๆทางภาคอีสานบ้านเฮามาให้พี่น้องได๋เบิงได๋ชมกันเด๋อครับ

การทำแคน

อุปกรณ์การผลิต

1. ไม้เนื้อแข็ง  เช่นไม้ประดู่  ไม้แดง  ไม้น้ำเกลี้ยง  ( ไม้รัก )

2. ไม้เฮี้ย  ( ไม้ไผ่ชนิดหนึ่ง )

3. เหล็กแหลมเจาะรู ( เหล็กซี )

4. ลิ้นแคนซึ่งทำจากโลหะผสมของเงินและทองแดง

5. ขี้ผึ้งเหนียว ( ขี้สูตร )

 วิธีการผลิต

ชาวบ้านจะไปตัดไม้เฮี้ยจากบนภูเขาไปขายให้แก่ช่างแคน  เดิมก็ใช้เกวียนบรรทุกไป  แต่ปัจจุบันใช้รถบรรทุกขนไป  ราคาขายปลีกมัดละ  10  บาท  มัดหนึ่ง  ๆ  ชาวบ้านเรียกว่า  “หลาบ”  ๆ  ละ  16  กู่  ซึ่งใช้ทำแคนได้  1  เต้า  (ส่วนมากเรียก  “ดวง”)

                เมื่อช่างแคนได้ไม้กุ่แคนมาแล้วก็จะตากให้แห้ง  จึงนำมาเจาะทะลุข้อและคัดให้ตรงแล้วคัดเป็นท่อนตามขนาดที่ต้องการใช้  ต่อจากนี้ก็เจาะลิ้น  รูแพว

                สำหรับลิ้นนั้นทำจากโลหะ  เช่น  ทองเหลือง  ทองแดง  หรือโลหะผสม  คือ  ทองแดงผสมเงินซึ่งจะมีช่างโลหะโดยตรงเป็นผู้ผสมและตีเป็นมาตรฐานมาให้ช่างแคน  ช่างแคนก็จะนำมาตัดเป็นเส้นและตีให้เป็นแผ่นบาง  ๆ  ให้ได้ขนาดที่จะสับเป็นลิ้นแคน   นำลิ้นแคนไปสอดใส่ไว้ในช่องรูลิ้นของกู่แคนหรือลูกแคนแต่ละลูก

                เต้าแคนช่างแคนทำจากไม้ประดู่หรือไม้นำเกลี้ยง  (ไม้รัก)  ถ้าเป็นไม้ประดู่คู่นิยมใช้รากเพราะตัดหรือปาดง่ายด้วยมีดตอก  ใช้สิ่วเจาะให้กลวงเพื่อเป็นที่สอดใส่ลูกแคนและเป็นทางให้ลมเป่าผ่านไปยังลิ้นแคนได้สะดวก  เมื่อสอดใส่ลูกแคนเข้าไปในเต้าแล้วต้องใช้ขี้สูตร  หรือขี้แมงน้อยก็เรียก  ขี้สูตรนี้เข้าใจว่าเป็นพวกสารพวกขี้ผึ้งดำ  ได้จากรังของแมลงชนิดหนึ่งคล้ายมิ้มหรือผึ้งเล็กแมลงชนิดนี้ชาวบ้านเรียกว่าแมงน้อยหรือแมงขี้สูตร  เดิมทีเดียวคงเรียกว่าแมงน้อย  แต่เมื่อนำมาเป็นชันอุดและเชื่อมลูกแคนเข้ากับเต้าแคน  และใช้สำหรับปิดรูนับรูเสียงเสพหรือที่ชาวผู้ไทยเรียกเสียงกล่อม  ทำให้เป่าแคนเป็นทำนองลีลาต่างกันออกไป  เกิดเป็นสูตรเพลงแคนขึ้นมาเป็นลายน้อยลายใหญ่และอื่น  ๆ  ขึ้นมา  ขี้แมงน้อยก็กลายเป็นขี้  “สูตร”  แทนคำว่า  “ขี้สูด”  บังคับให้เกิด  “สูตร”  เพลงแคนขึ้นมา  ข้าพเจ้าจึงใช้คำว่า  “ขี้สูตร”  แทนทำว่า  “ขี้สูด”

 ระบบเสียง  เนื่องจากแคนมีหลายชนิด  หากจะแบ่งตามจำนวนลูกแคนเป็นคู่  ๆ  ก็จะแบ่งได้เป็นแคนสาม  (ปกติเรียกกันว่าแคนหก  เพราะมีหกลูกหรือสามคู่)  แคนสี่แคนห้า  (แคนหกข้าพเจ้ายังไม่เคยพบ – หมายถึงแคนที่มีหกคู่หรือสิบสองลูก)  แคนเจ็ด  แคนแปด  และแคนเก้า  ในที่นี้จะกล่าวเฉพาะแคนแปดซึ่งเป็นแคนที่นิยมใช้แพร่หลายที่สุด

                ระบบของแคนแปดมีเสี้ยงทั้งหมด  16  เสียง  แต่เป็นระดับเสียงที่ซ้ำกันเสีย  2  เสียง  ฉะนั้นจึงมีเสียงที่มีระดับแตกต่างกันทั้งหมด  15  เสียง  เรียงลำดับจากต่ำไปสูงดังนี้  คือ  ลา  ที  โด  เร  มี  ฟา  ซอล  (ซอล)  ลา  ที  โด  เร  มี  ฟา  ซอล  ลา  แต่เสียงทั้ง   16  เสี้ยงนี้มิได้เรียงลำดับอย่างเสียงระนาดหรือเสียงเปียโน  หากแต่เสียงเหล่านี้นำไปเรียงกันเข้าไปในลักษณะที่คล้ายคลึงกับการเรียงตัวอักษรของพิมพ์ดีด  ทั้งนี้เพื่อสะดวกและเหมาะสม  ในการบรรเลงเพลงพื้นบ้านและลักษณะการประสานเสียงทางดนตรีของชนแต่ละกลุ่ม

 วิธีเล่นและการฝึกหัด  การฝึกหัดเป่าก็เหมือนกับการฝึกหัดเครื่องดนตรีอื่น  ๆ  คือ  เรียนด้วยตนเองจากการสังเกตจดจำจากที่เคจได้ยินได้ฟัง  ผู้จะฝึกหัดนิยมไปหาซื้อแคนมาเองค่อยศึกษาคลำทางทีละนิดละหน่อย  ถ้ามีโอกาสที่จะขอคำแนะนำจากผู้ที่เป่าเป็นแล้ว  เมื่อจำทำนองอันใดได้ก็เอามาประติดประต่อเป็นของตนเอง  แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่ผู้ฝึกหัดจำเป็นต้องรู้ก็คือต้องรู้ตำแหน่งของเสียงแคนว่าลูกใดเป็นเสียงลูกใดคู่กับลูกใด  นอกจากนี้ยังต้องรู้ตำแหน่งของนิ้วมือด้วยว่านิ้วใดใช้กดหรือนับลูกใดบ้าง

                เนื่องจากแคนแปดมีลูกแคนข้างละแปดลูกจำเป็นต้องแบ่งหน้าที่ให้เป็นระบบดังนี้คือ

                1.  หัวแม่มือ  มีหน้าที่กอไว้เฉพาะลูกที่หนึ่ง  (ลูกที่อยู่ใกล้ที่เป่าที่สุด)

                2.  นิ้วชี้  มีหน้าที่กดได้สองลูกคือลูกที่สองกับลูกที่สาม

                3.  นิ้วกลาง  มีหน้าที่กดได้สองลูกคือลูกที่สี่กับลูกที่ห้า

                4.  นิ้วนางกดได้สองลูกคือ ลูกที่หกกับลูกที่เจ็ด

                5.  นิ้วก้อย  มีหน้าที่กดได้ลูกเดียวคือลูกที่แปด  คือลูกเล็กที่สุดที่อยู่ปลายสุด

โอกาสที่เล่นและการผสมวง

                แคนเป็นเครื่องดนตรีที่สำคัญที่สุดของชาวอีสาน  เพราะการบรรเลงดนตรีทุกอย่างของชาวอีสานจะต้องอิงแคนเป็นหลัก  และทำนองเพลงของเครื่องดนตรีต่าง  ๆ  ก็ล้วนแต่ยึดแบบอย่างของเพลงแคนทั้งสิ้น  ในสมัยโบราณพวกหนุ่มผู้นิยมเป่าแคนดีดพิณเดินเลาะบ้านไปคุยสาว  หรือไม่ก็ในงานบุญพระเวสฯ  พวกหนุ่มก็จะพากันเป่าปีเป่าแคน  ดีดพิณ  สีซอ  เลาะตามตูบหรือผาม  (ปะรำ)  พร้อมกับเกี้ยวสาวไปด้วยซึ่งเรียกว่า  “ลำเลาะตูบ”  แต่ในปัจจุบัน  ประเพณีต่าง  ๆ  เหล่านี้สูญไปแล้ว  จึงเหลือแต่การบรรเลงประกอบลำและประกอบฟ้อนในงานที่มีการจ้างหาในรูปแบบอื่น  ๆ

เพลงแคน  เพลงแคนจะแยกออกเป็น  4  ประเภท  ดังนี้

                1.  เพลงหลัก  5  เพลง  ได้แก่  ลายใหญ่  ลายน้อย  ลายสุดสะแนน  ลายโป้ซ้ายและลายส้อย  คำว่า  “ลาย”  จะมีความหมายตรงกับ  “โมด”  ในดนตรีฝรั่งและต่อไปนี้จะขอกล่าวถึงลายแคนทั้ง  5  ดังนี้

                     1.  ลายใหญ่  เป็นลายที่มีเสียงต่ำ  เมื่อก่อนจะเป่าเป็นจังหวะช้ามาก  ๆ  แต่ปัจจุบันมีลายจังหวะด้วยกัน  เช่น  ลายใหญ่  ธรรมดา  หรือลายใหญ่หัวตกหมอน  หรือลายใหญ่กะเลิง  ลายใหญ่ภูเขียวภูเวียงและลายใหญ่สาวหยิกแม่  (ในจังหวะเร็วมาก)  ในลายใหญ่ใช้ห้าเสียงเทียบได้กับเสียง  A,  B,  C,  E  และ  G ติดสูดที่   e  กับ   a         

                     2.  ลายน้อย  มีมาตราเสียงแบบเดียวกับลายใหญ่  คือ  ช้าและเศร้าที่เรียกว่าลายน้อยเพราะมีระดับเสียงสูงมาก  และความยุ่งยากสับสนในการนับนิ้วนับเสียงก็ต่างกัน  ลายน้อยอาจจะเรียกได้อีกชื่อว่า  “ลายแม่ฮ้างกล่อมลูก”  เพราะว่ารเป็นทำนองเศร้ามากคล้าย  ๆ  กับความรู้สึกของแม่หม้ายที่กำลังกล่อมลูกน้อยให้นอนมาตราเสียงของลายน้อยจะเทียบได้กับ D,  F,  A  และ  C  ติดสูดที่  d  และ  a

                    3.  สายสุดสะแนน  เป็นลายที่นิยมที่สุดสำหรับการบรรเลงประกอบหมอลำ  “สุด”  หมายถึง  ใกล้ที่สุด  “สะแนน”  หรือ  “สายแนน”  หมายถึง  เส้นหรือเชือกแห่งความรักดังนั้น  “สุดสายแนน”  อาจจะแปลว่า  “สุดสายสัมพันธุ์แห่งความรัก”  บางแห่งเรียกว่าสายสุดเมร  หรือลายสุดสุเมรุ  สายสุดสะแนนใช้เสียง  C,  D,  E,  G  และ  a  ติดสูดที่    c  และ  g  

                    4.  ลายโป๊ะซ้าย  ใช้มาตราเสียง  F, G, A, C  และ  D    ติดสูดที่ C   และ  G  มีทำนองเดียวกันกับลายสุดสะแนน  แต่เป็นด้วยความยากง่ายของการนับเสียงจึงแตกต่างจากลายสุดสะแนน   ที่เรียกว่า  ลายโป้ซ้าย  ก็เพราะว่ารูติดสูดรูหนึ่งต้องปิดด้วยหัวแม่มือซ้าย

                    5.  ลายสร้อย  ส่วนมากลายนี้ใช้เล่นเดี่ยวมากกว่าเล่นประกอบหมอลำ  ลายนี้เทียบได้กับเสียงใน  G,  A,  B,  D,  E  ติดที่สูด  d  และ  a  เหมือนกับลายน้อย  ลายสร้อยมีทำนองเช่นกับโป้ซ้าย  ยากที่จะแยกเสียงระหว่างลายสร้อยกับโป้ซ้ายแต่โดยทั่วไปแล้ว  ลายสร้อยมีเสียงสูงกว่าลายโป้ซ้ายที่เรียกว่าลายสร้อยก็เพราะมีเสียงแหลมสูงมาก

                ลายแคนที่เป็นหลักอีกลายชื่อว่า  “ลายเซ”  ซึ่งใช้กับเสียง  E,  G,  A,  B  และติดสูดที่เสียง  b  และ  e  ลายเซจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกันกับลายน้อยและลายใหญ่  ซึ่งเป็นเพลงมาตราเสียงโศ